หน้าเว็บ

ประกันภัยรถยนต์

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

All-New Honda Accord 2014 Plug in Hybrid คู่แข่งโตโยต้าคัมรี่ไฮบริด ศึกนี้มันส์!







เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2012 ทาง Honda ได้เปิดเผยรายละเอียดของ All-New Honda Accord Plug-In Hybrid 2014 เป็นครั้งแรกของ Accord ที่ส่งเวอร์ชันไฮบริดออกสู่ตลาด และเป็นครั้งแรกของ Honda ที่เปิดตัวรุ่นขายจริงของรถยนต์ Plug-In Hybrid ออกมา ดีไซน์ภายนอก สร้างความแตกต่างด้วยกระจังหน้าและกันชนหน้าออกแบบพิเศษ งานดีไซน์คล้ายปีกนก เน้นสีดำและสีเงิน ตัดกับลายกราฟิกสีฟ้า ให้ความรู้สึกทันสมัยและรักษ์โลก ฝากระโปรงเปลี่ยนวัสดุมาใช้อะลูมิเนียมล้อดีไซน์พิเศษเพื่อความลู่ลมขนาด 17 นิ้ว รวมไปถึงฝาปลั๊กชาร์จไฟฟ้าบริเวณเหนือซุ้มล้อหน้าด้านซ้าย และป้ายโลโก้ Plug-In Hybrid บริเวณด้านท้ายรถ และด้านข้างตัวรถ พร้อมตัวเลือกสีตัวถังพิเศษ Burnished Silver Metallic ช่วยสร้างความแตกต่างจากรุ่นปกติ



 



ในส่วนของห้องโดยสาร มีการตกแต่งด้วยโทนสีเงินมากขึ้น ช่วยเพิ่มความทันสมัย รวมไปถึงบรรดาของเล่นไฮเทคมากมาย เช่น หน้าจอ i-MID ขนาดใหญ่ กล้องถอยหลัง ระบบ LaneWatch ที่ช่วยเตือนหากเปลี่ยนเลนและมีรถอยู่ในมุมอับ ฯลฯ พร้อมหน้าจอมาตรวัดแบบใหม่ที่ถูกออกแบบสำหรับเวอร์ชัน Plug-In Hybrid เป็นพิเศษ










All-New Honda Accord Plug in Hybrid 2014 ด้านเครื่องยนต์ EarthDreams Plug-In Hybrid ผนวกเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ EarthDreams i-VTEC ความจุ 2.0 ลิตร 137 แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดกำลัง 166 แรงม้า เมื่อผสานกำลังของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน จะสร้างแรงม้าได้ 196 แรงม้า โดยกำลังไฟฟ้าจะถูกเก็บอยู่ที่แบตเตอรี่ Li-ion ขนาดความจุ 6.7 kWh ซึ่ง Honda เคลมว่าระบบ PHEV ของตนจะสร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่า 42.5 กม./ลิตรเลยทีเดียว


การทำงานของระบบ Plug-In Hybrid ในแอคคอร์ด จะแตกต่างจากระบบ Hybrid ที่ฮอนด้าใช้ใน Insight,CR-Z และ Jazz Hybrid โดย 2014 Honda Accord Plug-In Hybrid จะมีหลักการทำงานคล้าย Toyota Prius Plug-In Hybrid ถ้าจะอธิบายให้ง่าย คือมีหลักการทำงานที่ซับซ้อนกว่าระบบไฮบริดแบบปกติของฮอนด้าและสามารถเดินทางด้วย EV Mode เพียงอย่างเดียว (แล่นได้ 25 กม.) หรือผสมผสานเครื่องยนต์-มอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน และเดินทางด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แต่เพิ่มความสามารถในการชาร์จไฟบ้านเข้าตัวรถได้ด้วยซึ่งระยะเวลาในการชาร์จไฟกับไฟบ้าน 240 โวลต์จะใช้เวลาต่ำกว่า 1 ชม.เท่านั้น










All-New Honda Accord Plug in Hybrid 2014 พร้อมออกขายในสหรัฐอเมริกาปีหน้า สำหรับตลาดเมืองไทย แว่วว่าชาวไทยอาจมีสิทธิ์ได้สัมผัสรถยนต์รุ่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่กรอบระยะเวลายังไม่ชัดเจนในตอนนี้ครับ เพราะต้องรอให้เวอร์ชันปกติเปิดตัวก่อน



ราคาล่าสุด Ford Focus 2013 ฟอร์ด โฟกัสใหม่ พร้อมออฟชั่นจัดเต็ม







ราคา Ford Focus 2013 โฉมใหม่ มีดังต่อไปนี้

 
4 ประตู 1.6 ลิตร แอมเบียนท์ เกียร์ธรรมดา 759,000 บาท
4 ประตู 1.6 ลิตร แอมเบียนท์ เกียร์อัตโนมัติ 799,000 บาท
4 ประตู 1.6 ลิตร เทรนด์ เกียร์อัตโนมัติ 829,000 บาท
5 ประตู 1.6 ลิตร แอมเบียนท์ เกียร์อัตโนมัติ 809,000 บาท
5 ประตู 1.6 ลิตร เทรนด์ เกียร์อัตโนมัติ 839,000 บาท
4 ประตู 2.0 ลิตร ไทเทเนี่ยม เกียร์อัตโนมัติ 959,000 บาท
5 ประตู 2.0 ลิตร สปอร์ต เกียร์อัตโนมัติ 969,000 บาท
4 ประตู 2.0 ลิตรไทเทเนี่ยม พลัส เกียร์อัตโนมัติ   1,069,000 บาท
5 ประตู 2.0 ลิตร สปอร์ต พลัส เกียร์อัตโนมัติ   1,079,000 บาท

 
ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ผู้บริโภคชาวไทยจะมีที่ว่างในใจเหลือให้เก๋งคอมแพกต์ของฟอร์ดมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้านับช่วง10ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่“เลเซอร์ เทียร่า”มาถึง“โฟกัส”(เจเนอเรชัน2) ไม่อาจจะสร้างความสำเร็จทั้งในแง่ยอดขายและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้เท่าที่ควร

 
ถ้าไม่รวม“โฟกัส ไมเนอร์เชนจ์”เครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นรถดีและคุ้มค่าต่อราคาสูง ส่วนเรื่อง(รุ่น)อื่นๆยังเปลี่ยนความเชื่อคนไทยไม่ได้ โดยเฉพาะการกินน้ำมัน วัสดุที่ใช้ประกอบเปราะ-แตก-หัก ง่าย (หลังจากใช้เกิน 3-5 ปี) รวมถึงอะไหล่แพง ศูนย์บริการห่วย
       แน่นอนว่าความเชื่อดังกล่าวอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ขณะเดียวกันเมื่อหันไปมองจุดเด่นด้านอื่นๆของฟอร์ดแล้ว ยังมีอีกเพียบทั้งสุดยอดสมรรถนะการขับขี่ ช่วงล่างหนึบแน่น และการให้อุปกรณ์อำนวยความสะดวก-ปลอดภัยมากกว่ารถในคลาสเดียวกัน
       ...แต่กระนั้นเมื่อหักลบกลบหนี้ระหว่างข้อดีและข้อด้อยแล้ว คอมแพกต์คาร์ของฟอร์ดก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรอยู่ดี!?

 
สำหรับฟอร์ด โฟกัส โฉมใหม่ (Full Modelchange) เจเนอเรชันสาม ที่ย้ายฐานการผลิตจากฟิลิปปินส์มาประเทศไทย ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.4 หมื่นล้านบาท พร้อมเนรมิตโรงงาน ฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (FTM) ที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 โรงงานที่ได้ผลิตโฟกัสใหม่ร่วมกับ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และ เยอรมนี
       โดยฟอร์ดย้ำว่า โฟกัส โฉมใหม่ จะให้ความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์ ผสานเทคโนโลยียานยนต์อันชาญฉลาด วัสดุและการประกอบประณีต ระบบความปลอดภัยเหนือชั้น สมรรถนะการขับขี่ยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ทั้งยังย้ำว่าหลังจากย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยแล้ว เรื่องบริหารจัดการชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆจะดีขึ้น ตลอดจนเมื่อเทียบค่าบำรุงรักษาในระยะ100,000 กิโลเมตรแรกแล้ว จะถูกกว่าคู่แข่งทุกเจ้าในตลาดแน่นอน
       ...เรียกว่าพอเป็น “โฟกัส โมเดลเชนจ์”แล้ว ทุกอย่างปรับใหม่ให้ดีหมด
       อย่างไรก็ตามหลังจากฟอร์ด ประเทศไทย นำโฟกัสรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร มาเผยโฉมครั้งแรกในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ผ่านมา พร้อมแจ้งราคาและเปิดรับจองเรียบร้อย เห็นว่ามียอดจองเข้ามากว่า 500 คัน ซึ่งคนที่จองรถล็อตแรกนี้จะถูกยกระดับเป็นลูกค้าวีไอพี มีสิทธิพิเศษมากมาย และจะได้รับรถภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนรุ่น 1.6 ลิตร หลังการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ 8 สิงหาคมนี้ ก็จะเริ่มทยอยส่งมอบทันทีเช่นกัน
       โดยเครื่องยนต์เบนซิน ดูราเทค 1.6 ลิตร Ti-VCT 125 แรงม้า และเกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ยกมาทั้งชุดจากเฟียสต้า ซึ่งระบบขับเคลื่อนชุดนี้ต้องนำเข้ามาจากประเทศอินเดีย ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรที่ผู้เขียนได้ลองขับเป็นบล็อกที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษ

 
สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ดูราเทค Gdiไดเรกอินเจกชัน ฉีดจ่ายน้ำมันตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว มาพร้อมระบบแปรผันแคมชาฟท์แบบอิสระคู่ Ti-VCT (วาล์วไอดี-ไอเสียแปรผัน) ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้าที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 202 นิวตัน-เมตรที่ 4,450 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์คลัทซ์คู่(คลัทซ์แบบแห้ง) พาวเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด
       โดยบุคลิกการขับขี่ของ“โฟกัส 2.0” จะออกแนวสุขุมนุ่มลึกมากกว่าความสปอร์ตจี๊ดจ๊าด หรือถ้าเทียบกับ“ซีวิค 2.0 ลิตร”ย่อมเป็นคนละอารมณ์ชัดเจน ส่วนหนึ่งเพราะการออกตัวหรืออัตราเร่งในย่านความเร็วต่ำไม่ได้พุ่งพล่านทันใจนัก หลายจังหวะต้องกดคันเร่งลงไปลึกหน่อย รอให้รอบดีดเกิน 3,000 ถึงจะรับรู้ถึงการฉุดดึง 
       อย่างไรก็ตามถ้าถามผู้เขียนว่าอืดไหม? ก็ตอบได้ว่ารถรุ่นนี้ไม่ถึงอืดครับ ซึ่งการขับขี่ในชีวิตประจำวันทั้งในเมืองและนอกเมืองการตอบสนองของระบบขับเคลื่อนโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ถ้ามองว่านี่คือเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 170 แรงม้า และถ้าเทียบกับเก๋งคอมแพกต์กับเจ้าอื่นๆแล้ว ในส่วนของตีนต้นหรืออัตราเร่ง“โฟกัส 2.0 ลิตร” น่าจะทำได้ดีกว่านี้

 
 ส่วนการขับออกนอกเมืองใช้ความเร็วสูง เมื่อรถลอยลมก็ขับสนุกครับ โดยจังหวะบี้คันเร่ง-เข่นเพิ่มความเร็ว เจ้าเกียร์ “พาวเวอร์ชิฟท์” ยังทำงานฉับไว ยิ่งเกียร์ 4-5-6 จะส่งกำลังได้ไหลลื่นและเรียบเนียน ไม่รู้สึกถึงอาการกระตุกใดๆ
       ส่วนการเลือกเปลี่ยนเกียร์เองสามารถทำได้โดยใช้นิ้วโป้งกดปุ่ม + , - ที่หัวเกียร์ ซึ่งตรงนี้ใช้งานยากกว่าการโยกคันเกียร์หรือแบบมีแพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย(จนไม่น่าเล่น) ดังนั้นถ้าอยากขับแบบดุดันเอามัน ก็เลื่อนตำแหน่งเกียร์ลงมาที่โหมด S (Spot) ซึ่งรอบเครื่องยนต์จะรออยู่แถวๆ 3,000 รอบ แค่นี้ก็ขับสนุกมากขึ้นแล้ว
       ทั้งนี้การเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก P R N D และ S คันเกียร์จะแข็งกว่า “ซีวิค” นิดๆ ซึ่งอาจจะต้องใช้แรงเพิ่มอีกหน่อย (ส่วนอัลติสเป็นแบบขั้นบันไดซึ่งดีอยู่แล้ว) แต่ก็ทำให้การเปลี่ยนเกียร์ได้มั่นใจไม่ “หลุด-ไถล-เลย”เหมือนซีวิค (ผู้เขียนอาจจะเป็นคนมือหนักเอง)

 
 ขณะที่ระบบพวงมาลัยที่หันมาใช้แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าแทนแบบไฮดรอลิกเดิม ฟอร์ดก็ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี โดยน้ำหนักเบามือจริงมือขับความเร็วต่ำ ซึ่งผู้เขียนว่าช่วยให้การเลี้ยวหรือถอยจอดคล่องแคล่ว แต่ถ้าขับทางไกลใช้ความเร็วสูง 100-120 กม./ชม.น้ำหนักพวงมาลัยจะหน่วงขึ้นและนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ
       การควบคุมในโค้งให้ความแม่นยำ พร้อมสั่งงานแน่นกระฉับมือ ทั้งนี้ฟอร์ดแจ้งว่า เมื่อเทียบระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ อัตราทดของพวงมาลัยจะลดลงจาก 16:1 มาอยู่ที่ 14.7:1 จึงมีส่วนช่วยการตอบสนองและการบังคับทิศทางที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังมีระบบชดเชยน้ำหนักบนพวงมาลัย (Pull-Drift Compensation) ที่ช่วยผ่อนแรงหรือลดความเครียดในการควบคุมพวงมาลัยเมื่อขับบนถนนขรุขระหรือมีลมปะทะแรงจากด้านข้าง
       นอกจากนี้ฟอร์ดยังเคลมว่าระบบพวงมาลัยพาวเวอร์อิเล็กทรอนิกส์(EPAS) ที่ถูกติดตั้งเป็นมาตรฐานในโฟกัส ใหม่ทุกรุ่น จะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันลง 3% เมื่อเทียบกับพวงมาลัยพาวเวอร์แบบไฮดรอลิกทั่วไป 
       สำหรับระบบพวงมาลัยที่ว่าดี ยังสอดคล้องกับความยอดเยี่ยมของการออกแบบช่วงล่างและการเก็บเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งผู้เขียนมองว่า “โฟกัส โฉมใหม่” ทำได้ดีที่สุดในคลาส (Best in class) 
       …นอกจากชุดเครื่องเสียงคุณภาพดีที่ติดตั้งมาให้ เพื่อขับกล่อมระหว่างการเดินทางแล้ว เมื่อคุณปิดทุกอย่างลงหวังอยู่เหงาๆคนเดียว คุณก็ได้สิ่งนั้นทันที โดยภายในห้องโดยสารของ “โฟกัส ใหม่” ค่อนข้างนิ่งเงียบเมื่อเทียบกับรถในคลาสเดียวกันหรือแทบจะไร้เสียงลมปะทะและยางบดถนน เมื่อขับขี่เกิน 100 กม./ชม.ขึ้นไป
       ขณะที่แรงสั่นอาการสะเทือนจากภายนอกและพื้นถนน โครงสร้างตัวถังและช่วงล่างของ“โฟกัส ใหม่”ก็จัดการได้อยู่หมัด ซึ่งเป็นผลมาจากเพิ่มความแข็งแรงของจุดเชื่อมต่างๆ พร้อมการติดตั้งฉนวนกันเสียงและวัสดุซับเสียงเพิ่มเติมในหลายๆจุด
       ส่วนช่วงล่างถูกปรับใหม่หมด ทั้งสปริง โช้ก และกันโคลง ซึ่งวิศวกรหวังรักษาทั้งเสถียรภาพการทรงตัวและการลดน้ำหนักของชิ้นส่วนไปพร้อมๆกัน โดยด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สัน สตรัท หลังเป็นอิสระแบบมัลติลิงค์ เซ็ทมาได้หนึบแน่น ขับทางตรงเหยียบ120-140 กม./ชม.ภายในห้องโดยสารไม่ได้เต้นไปตามความเร็วและลอกคลื่นของพื้นถนน
       ในตำแหน่งผู้ขับยังรู้สึกแนบแน่นเกาะถนน ไม่ว่าจะผ่านโค้งขึ้นเขาหรือลงเขา ซึ่งโฟกัส ใหม่ ถ่ายเทน้ำหนักหน้า-หลังดี แถมประสิทธิภาพการทรงตัวเป็นเลิศ เหนืออื่นใดถ้าใช้ความเร็วต่ำหรือขับช้าๆผ่านรอยต่อคอสะพาน ระบบรองรับยังซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้อย่างยอดเยี่ยม

 
       เรียกว่าช่วงล่างใหม่ให้ความมั่นใจได้ทุกสถานการณ์ แถมยังนั่งนิ่มสบายเมื่อขับขี่ในเมือง แต่กระนั้นถ้านั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังอาจจะรู้สึกอึดอัดไปสักนิด ทั้งพื้นที่ว่างช่วงขาและช่วงหัว ที่สำคัญเบาะรองนั่งยังออกแนวสั้น ขณะที่พนักพิงหลังก็ชันไปนิด (ส่วนหนึ่งเพราะโครงสร้างของช่วงล่างหลังที่มีชิ้นส่วนเยอะ ย่อมกินพื้นที่ภายในห้องโดยสารเป็นธรรมดา แต่ถ้าอยากกว้างต้อง โคโรลล่า อัลติส ที่เป็นคานแข็ง)
       เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้ขับการวางขาอาจจะรู้สึกขยับขยายลำบากเช่นกัน ซึ่งคนตัวสูงคงต้องถอยเบาะและดึงพวงมาลัยตามเข้ามาหาตัวเพื่อให้การขับถนัดมากขึ้น (แต่ต้องคำนึงถึงทัศนวิสัยด้านหน้าด้วย)
Focus 2013 โฉมใหม่ 2.0 ที่ผู้เขียนได้ลองเป็นตัวถัง “แฮทซ์แบ็ก” รุ่นสปอร์ต พลัส ใช้เบาะหนังสลับผ้า ซึ่งให้ความนุ่มสบายและกระชับสรีระพอสมควร ขณะที่การตกแต่งรวมๆออกแนวหรูหราเลยครับ ทั้งพวงมาลัยที่ประดังไปด้วยปุ่มควบคุมมากมาย คันเกียร์ คอนโซล แผงประตู รวมถึงการติดตั้งซันรูฟเพิ่มมูลค่าความเท่มาให้อีกด้วย

 
 ด้านอัตราบริโภคน้ำมัน ฟอร์ดเคลมว่า “โฟกัส ใหม่” รุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เกียร์พาวเวอร์ชิฟท์ (ถ้ารุ่นเกียร์ธรรมดาจะมีอยู่ใน 1.6 ตัวถังซีด่านเพียงรุ่นเดียว) จะทำตัวเลขเฉลี่ยได้ 14.9 กม./ลิตร ส่วนการขับขี่ของผู้เขียนที่ได้ทดสอบเองทำได้ 9-10 กม./ลิตร (หน้าจอจะแสดงผลเป็น ลิตรต่อ 100 กม.)
       รวบรัดตัดความ...แม้จังหวะออกตัวจะออกแนวเนิบนุ่ม แต่ไม่ถึงกับเป็นข้อด้อยในการขับขี่โดยรวมซึ่งเครื่องยนต์และเกียร์ผสานการทำงานได้อย่างลงตัว ช่วงล่างและการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารน่าจะดีที่สุดในบรรดาคู่แข่งระดับเดียวกัน “หนึบเนียนนิ่ง” ไร้ที่ติ ดังนั้นถ้าวัดกันที่ตัวรถเพียวๆ ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ออปชัน พร้อมความหรูหราที่ได้รับเกินราคาที่จ่ายไป คงต้องตัดสินใจซื้อ“ฟอร์ด โฟกัส ใหม่”...เว้นแต่จะมีเหตุผลอื่น?

เปิดตัว All-New Honda CR-V ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ พร้อมราคา


แถลงข่าวโดย นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด
ในวันอังคารที่ 18 กันยายน 2555
เวลา 12.00-15.00 น.
ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ 3 ชั้น 5 สยามพารากอน







 All-New Honda CR-V 2013 โฉมใหม่นี้ได้ผสานความสปอร์ตและความหรูหราเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว โดยเน้นเส้นสายรูปทรงโค้งเว้า ตั้งแต่กระจังหน้าขนาดใหญ่ผ่านชุดไฟหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ไฟท้ายที่ถูกดีไซน์ให้ยาวและใหญ่ดูทันสมัยมากขึ้น ทั้งยังลงตัวกับชิ้นส่วนพลาสติกแบบมันวาวในบางส่วนของตัวถัง และล้ออัลลอยขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรถนั่งสบายๆ เรียบหรูแต่พร้อมลุยได้ทุกเมื่อ

 All-New Honda CR-V 2013 รุ่นนี้มีมิติตัวถังเล็กกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ขนาดตัวถังยาว 4,534 ม.ม. กว้าง1,819 ม.ม. สูง 1,653 ม.ม. ระยะฐานล้อ 2,619 ม.ม.






 All-New Honda CR-V 2013 มาพร้อมกับขุมพลัง i-VTEC สูบแถวเรียงขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 185แรงม้า พกแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร จับคู่มากับระบบเกียร์อัตโนมัติ 5สปีด ระบบควบคุมการขับเคลื่อนล้ออัตโนมัติ Real Time All-Wheel-Drive (AWD) ที่พ่วงระบบ Intelligent Control System แบบใหม่มาด้วยทั้งระบบ ทั้งยังผ่านอัตราประหยัดจากการทดสอบโดยเฉลี่ยของ EPA โดยสำหรับรุ่นระบบขับเคลื่อนแบบ FWD จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับการขับในเมืองและนอกเมืองอยู่ที่ 23 และ 31 ไมล์/แกลลอน(จากเดิม 21 และ 28 ไมล์/แกลลอน) ส่วนรุ่นระบบขับเคลื่อนแบบ AWD จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับการขับในเมืองและนอกเมืองอยู่ที่ 22 และ 30 ไมล์/แกลลอน(จากเดิม 21 และ 27 ไมล์/แกลลอน)






ภายในห้องโดยสาร All-New Honda CR-V 2013 นี้ถูกดีไซน์โดยใช้วัสดุเกรดพรีเมี่ยม เน้นความกว้างขวางยามเดินทางมากกว่ารุ่นเดิม รุ่นนี้มาพร้อมคอนโซลกลางรุ่นใหม่ มาตรวัดเรือนไมล์แบบ Multi Layer เป็นอุปกรณ์มาตรฐานประจำรถทุกรุ่น แถมยังเพียมพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ เช่น ระบบเชื่อมต่อวิทยุทางอินเตอร์เน็ท Pandora internet radio พร้อมระบบการอ่านและโต้ตอบ SMS ผ่านระบบ Intelligent Multi-Information Display (i-MID)(สำหรับรุ่นที่มีระบบนำทาง) ช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และด้วยรุ่นนี้เป็นรถขนาด ที่นั่งจึงมาพร้อมเบาะหลังที่ให้ความอเนกประสงค์มากขึ้น โดยสามารถพับได้แบบ Easy Fold-Downในอัตรา 60/40












 ราคา All-New Honda CR-V

รุ่น 2.0 S (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) ราคา 1,164,000 บาท 
รุ่น 2.0 E (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ราคา 1,274,000 บาท 
รุ่น 2.4 EL 2WD (ขับเคลื่อน 2 ล้อ) ราคา 1,444,000 บาท  
รุ่น 2.4 EL (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ราคา 1,524,000 บาท


วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

Ford fiesta Minorchange 2013 ได้เวลาไมเนอร์เชนจ์หล่อในคราบ Aston Martin







สำหรับ Ford Fiesta Minorchange 2013 มีการคาดการว่าจะเริ่มจำหน่ายกันต้นปีหน้า โดยน่าจะมีการเปลี่ยน กันชนหน้า – หลังใหม่รวมถึงไฟท้ายและอื่นๆ

 ในที่สุด วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเอกลักษณ์หน้าตาของรถยนต์ Ford ยุคใหม่จะเป็นอย่างไร?Ford Fiesta Minorchange 2013 คือคำตอบในสิ่งที่พวกเราสงสัยกัน เพราะหลายคนก็ยังไม่แน่ใจหลังจาก Ford  Fusion จะเป็นต้นแบบหน้าตา Ford ยุคใหม่ให้กับรถรุ่นอื่นหรือไม่


Ford Fiesta Minorchange 2013 
มาพร้อมกับการปรับโฉมที่ละทิ้งดีไซน์ของเดิมทิ้งไปแล้วก้าวข้ามมาสู่ความดุดันในการ
ออกแบบมากขึ้นด้วยชุดกระจังหน้าและกันชนหน้าใหม่ทรงเดียวกับ Aston Martin ช่วยเพิ่มความพรีเมี่ยมให้กับ Ford ได้ง่ายขึ้นมาก 



Ford Fiesta Minorchange 2013 ถือเป็นหนึ่งในตระกูลรถยนต์รุ่นขายดีที่สุดระดับโลกของ Ford ดังนั้นการปรับปรุงโฉมให้กับ Fiesta จึงต้องปฏิบัติอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบที่เฉียบคมขึ้นและเพิ่มเติมเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น และเพื่อให้สมกับความเป็นรถยอดนิยมที่มียอดขายสะสมมมากกว่า 15 ล้านคันตั้งแต่ปี 1976Ford Fiesta Minorchange 2013 จะมีหน้าตาเอกลักษณ์ Ford แบบใหม่แลดูคล้ายกับ Aston Martin มากขึ้น


โคมไฟหน้าโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่คมสันเหมือนเส้นเลเซอร์ ติดตั้งหลอดไฟ LED และหลอดไฟส่องสว่างตอนกลางวัน Daytime Running Lamp และเสริมความมีพลังด้วยซุ้มโป่งล้อหน้าที่เล่นเส้นสันเด่นนูนชัดมากขึ้น ด้านท้ายก็มีการปรับปรุงรายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่ดูล้ำสมัยมากขึ้น










ภายในห้องโดยสารก็มีการปรับปรุงรายละเอียดให้มีความสุนทรีย์และกลมกลืนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงแผงควบคุมชุดเครื่องเสียงให้แลดูคล้ายกับ Ford Focus รุ่นบน ๆ , เปลี่ยนแผงชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศให้ดูดีขึ้น นอกนั้นก็จะปรับรายละเอียดเล็กน้อยให้ลงตัวขึ้น

พิเศษ งานนี้ Ford ลงทุนเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานล้ำสมัยให้กับ Ford Fiesta Minorchange 2013 มากขึ้นจนสร้างมาตรฐานอันโดดเด่นให้เหนือกว่ารถระดับเดียวกัน ได้แก่ ระบบ Active City Stop ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติขณะวิ่งความเร็วต่ำ,  Ford SYNC ระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์เครื่องเล่นภายนอกเข้ากับวงจรภายในรถผ่าน USB และ Bluetooth สามารถสั่งงานเสียงเพื่อโทรออก
และเล่นเพลง รวมถึงสามารถเรียกใช้บริการฉุกเฉินได้ด้วย



นอกจากนี้ Ford ยังแนะนำฟีเจอร์พิเศษใหม่ล่าสุด MyKey ระบบที่ผู้ปกครองสามารถตั้งค่าความปลอดภัยของรถก่อนที่จะให้ลูกหลานของท่านขับเพื่อช่วยลดอุบัติเหตุจากประสบการณ์การขับขี่อันน้อยนิดของลูกหลาน ได้แก่  สามารถตั้งเตือนความเร็วสูงสุดและตั้งค่าความดังสูงสุดของเครื่องได้, ระบบจะปิดเสียงจากชุดเครื่องเสียงทั้งหมดจนกว่าจะคาดเข็มขัดนิรภัยเสียก่อน








Ford Fiesta Minorchange 2013 ถูกติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุดที่ Ford ภูมิใจนำเสนอ คือ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost เครื่องยนต์ดีเด่นที่ติดเข้ารอบการตัดสินรางวัล International Engine of the Year  ประจำปี 2012

กำหนดการเปิดตัวจะมีขึ้นในงาน Paris Motorshow 2012 สำหรับตลาดไทยเราอาจจะได้เห็น Ford Fiesta Minorchange ราวปี 2013 และมีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่จะได้สัมผัสเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost ด้วย